โคลง บทกวี [Sonnet - Ballad]
โคลง เป็นคำประพันธ์ที่บังคับวรรณยุกต์ คือ เอก โท และบังคับสัมผัส มีหลักฐานอันควรเชื่อว่าเป็นคำประพันธ์พื้นเมืองไทยทางเหนือและอีสานก่อนจะแพร่หลายมายังภาคกลาง
ความเป็นมาของโคลง
|
...[โคลงนั้น] จะคิดแต่งเมื่อครั้งไรไม่ปรากฏ มีเค้าเงื่อนแต่ว่าโคลงนั้นดูเหมือนจะเป็นของพวกไทยข้างฝ่ายเหนือคิดขึ้น มีกำหนดอักษรนับเป็นบาทสองบาท สามบาท สี่บาท เป็นบทเรียกว่าโคลงสอง โคลงสาม โคลงสี่ โคลงเก่า ๆ มีที่รับสัมผัสและที่กำหนดใช้อักษรสูงต่ำน้อยแห่ง แต่มามีบังคับมากขึ้นภายหลัง เห็นจะเป็นพวกไทยข้างฝ่ายใต้ได้รับอย่างมาแต่งประดิษฐ์เติมขึ้น...
| |
— สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ |
จากพระราชาธิบายของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สันนิษฐานว่าชาวไทยล้านนาเป็นผู้ประดิษฐ์โคลงขึ้น และชาวไทยทางใต้คือชาวกรุงศรีอยุธยารับไปดัดแปลงจนพิสดารขึ้น
โคลงของชาวล้านนานั้นเรียก “ครรโลง” “คะโลง” หรือ “กะโลง” มีสามประเภทคือ 1) ครรโลงสี่ห้อง 2) ครรโลงสามห้อง และ 3) ครรโลงสองห้อง กับทั้งยังมีกลวิธีแต่งที่ปลีกย่อยมากมาย เช่น โคลงบทหนึ่งว่า “กรนารายณ์ หมายกงรถ บทสังขยา สราสังวาล...”
หลักฐานที่แสดงว่าชาวล้านนาสนใจและนิยมแต่งโคลงมาแต่โบราณแล้วคือ จินดามณี ซึ่งกล่าวถึงโคลงลาวประเภทต่าง ๆ อันได้แก่ 1) พระยาลืมงายโคลงลาว 2) อินทร์เกี้ยวกลอนโคลงลาว 3) พวนสามชั้นโคลงลาว 4) ไหมยุ่งพันน้ำโคลงลาว และ 5) อินทร์หลงห้องโคลงลาว
คำว่า “ลาว” ข้างต้น หมายถึง ชาวล้านนา ชาวอยุธยาแต่ก่อนเรียกรวมทั้งชาวล้านนาและชาวล้านช้างว่า ลาว
วรรณคดีของชาวไทยฝ่ายใต้เรื่องแรกที่ปรากฏโคลงคือ ลิลิตโองการแช่งน้ำ อันแต่งด้วยโคลงห้าและร่ายดั้นสลับกัน กับทั้งยังเป็นวรรณคดีเรื่องเดียวที่ปรากฏโคลงห้าอีกด้วย ต่อมาปรากฏเป็นรูปโคลงสี่ดั้นใน ลิลิตยวนพ่าย โคลงสุภาพ (โคลงสอง โคลงสาม และโคลงสี่) ในลิลิตพระลอ ส่วนโคลงสองดั้นและโคลงสามดั้นเกิดขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์นี้เอง อย่างไรก็ตามจากหลักฐานทางวรรณกรรมอาจกล่าวได้ว่ากวีนิยมแต่งโคลงดั้นมาก่อนโคลงสุภาพ
การจำแนกโคลง
โคลงในวรรณกรรมไทย แบ่งได้ดังนี้ คือ
- โคลงสอง
- โคลงสองสุภาพ
- โคลงสองดั้น
- โคลงสาม
- โคลงสามสุภาพ
- โคลงสามดั้น
- โคลงสี่
- โคลงสี่สุภาพ
- โคลงสี่ดั้น
- โคลงห้า
หมายเหตุ:- โคลงห้านั้น พระยาอุปกิตศิลปสาร (นิ่ม กาญจนชีวะ) สิทธา พินิจภูวดล และประทีป วาทิกทินกร จัดให้เป็นโคลงโบราณ แต่กำชัย ทองหล่อ จัดให้เป็นโคลงสุภาพ ขณะที่ สุภาพร มากแจ้ง แยกออกมาต่างหาก ซึ่งน่าจะเหมาะสมกว่า เพราะมีวรรณกรรมเรื่องเดียวที่แต่งด้วยโคลงห้า ในยุคยังไม่สามารถแยกโคลงดั้นและโคลงสุภาพอย่างชัดเจน
โคลงสอง
โคลงสองสุภาพ
หนึ่งบทมี 14 คำ แบ่งเป็น 3 วรรค 5 - 5 - 4 คำ ตามลำดับ และอาจเพิ่มสร้อยท้ายบทได้อีก 2 คำ บังคับเอก 3 แห่ง โท 3 แห่ง สัมผัสส่งจากท้ายวรรคแรกไปยังท้ายวรรคที่สอง ดังตัวอย่าง
๐ ๐ ๐ เอก โท | | ๐ เอก ๐ ๐ โท |
เอก โท ๐ ๐ | | (๐ ๐) |
๏ โคลงสองเป็นอย่างนี้ | | แสดงแก่กุลบุตรชี้ |
เช่นให้เห็นเลบง | | แบบนา ๚ะ |
หากแต่งหลาย ๆ บท นิยมส่งสัมผัสระหว่างบท จากท้ายบทแรกไปยังคำใดคำหนึ่งในวรรคแรกของบทต่อไป ตัวอย่าง
๏ ไก่ขันเขียวผูกช้าง | | มาเทียมทั้งสองข้าง |
แนบข้างเกยนาง ๚ะ | | |
๏ ไป่ทันสางสั่งให้ | | พระแต่งจงสรรพไว้ |
เยียวปู่เจ้าเรามา ๚ะ | | |
๏ เผือจักลาแม่ ณ เกล้า | | อยู่เยียวเจียนรุ่งเช้า |
จักช้าทางไกล ๚ะ | | |
— ลิลิตพระลอ |
กวีบางท่านก็ไม่นิยมส่งสัมผัสระหว่างบท อย่างเช่น น.ม.ส. ในพระนิพนธ์ สามกรุง เป็นต้น
โคลงสองดั้น
หนึ่งบทมี 12 คำ แบ่งเป็น 3 วรรค วรรคละ 5 - 5 - 2 คำ ตามลำดับ และอาจมีสร้อยท้ายบทได้อีก 2 คำ ส่งสัมผัสแบบเดีวกับโคลงสองสุภาพ บังคับเอก 3 แห่ง โท 3 แห่ง เช่นเดียวกับโคลงสองสุภาพแต่ต่างตำแหน่ง หากแต่งหลายบทมีการส่งสัมผัสเช่นเดียวกับโคลงสองสุภาพ ดังตัวอย่าง
๐ ๐ ๐ เอก โท | | ๐ เอก ๐ โท โท |
เอก ๐ | | (๐ ๐) |
๏ โคลงสองเรียกอย่างดั้น | | โดยว่าวรรคท้ายนั้น |
เปลี่ยนแปลง ๚ะ | | |
๏ แสดงแบบแยบยลให้ | | กุลบุตรจำไว้ใช้ |
แต่งตาม ๚ะ | | |
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์โคลงสองดั้น โดยบังคับเอก 3 โท 2 (ลดโท) ในลิลิตนารายณ์สิบปาง ดังตัวอย่าง
๐ ๐ ๐ เอก โท | | ๐ ๐ ๐ เอก โท |
เอก ๐ | | (๐ ๐) |
๏ ทูลคดีแด่ไท้ | | อีกขอพระจุ่งได้ |
ดับเข็ญ ๚ะ | | |
๏ พระเป็นเจ้าจึ่งได้ | | ตรัสตอบว่าท่านไซร้ |
ทุกข์เหลือ ๚ะ | | |
๏ อยากเอื้อมและช่วยแท้ | | แต่เรานี้สุดแก้ |
พระพรหม ๚ะ | | |
๏ อับบรมราชผู้ | | เป็นหริสิรู้ |
อุบาย ๚ะ | | |
๏ จงผันผายและเฝ้า | | วอนพระวิษณุเจ้า |
หริพลัน | | เถิดนา ๚ะ |
การใช้โคลงสองในวรรณกรรม
ไม่มีวรรณคดีไทยเรื่องใดที่ใช้โคลงสองแต่งทั้งเรื่อง โดยทั่วไปมักแต่งสลับกับร่ายและโคลงชนิดอื่น ๆ ในลักษณะลิลิต อย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่งใช้ลงท้ายร่าย โดยโคลงสองสุภาพลงท้ายร่ายสุภาพ และโคลงสองดั้นลงท้ายร่ายดั้น
โคลงสาม
โคลงสามสุภาพ
บทหนึ่งมี 19 คำ แบ่งเป็น 4 วรรค วรรคละ 5 - 5 - 5 - 4 คำตามลำดับ และอาจมีสร้อยท้ายบทได้อีก 2 คำ เช่นเดียวกับโคลงสองสุภาพ บังคับเอก 3 แห่ง โท 3 แห่ง ส่งสัมผัสเพิ่มจากโคลงสองอีกหนึ่งแห่งจากท้ายวรรคแรกไปยังวรรคที่สอง ดังตัวอย่าง
๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | | ๐ ๐ ๐ เอก โท |
๐ เอก ๐ ๐ โท | | เอก โท ๐ ๐ (๐ ๐) |
๏ ล่วงลุด่านเจดีย์ | | สามองค์มีแห่งหั้น |
แดนต่อแดนกันนั้น | | เพื่อรู้ราวทาง ๚ะ |
๏ ขับพลวางเข้าแหล่ง | | แห่งอยุธเยศหล้า |
แลธุลีฟุ้งฟ้า | | มืดคลุ้มมัวมล ยิ่งนา ๚ะ |
— ลิลิตตะเลงพ่าย |
โคลงสามดั้น
บทหนึ่งมี 17 คำ แบ่งเป็น 4 วรรค วรรคละ 5 - 5 - 5 - 2 คำตามลำดับ บังคับเอก 3 แห่ง โท 3 แห่ง สัมผัสเหมือนโคลงสามสุภาพ ดังตัวอย่าง
๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | | ๐ ๐ ๐ เอก โท |
๐ เอก ๐ โท โท | | เอก ๐ (๐ ๐) |
๏ พุทธศกสองพันปี | | เศษมีแปดสิบเข้า |
เหตุรุ่มรุมร้อนเร้า | | ย่ำยี ๚ะ |
๏ มีเมืองทิศตกไถง | | คือม่านภัยมุ่งร้าย |
เตลงคั่นบต้านได้ | | เด็ดลง ๚ะ |
— ผืนแผ่นไผทนี้ล้ำ แหล่งคุณ |
เช่นเดียวกับโคลงสองดั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์โคลงสามดั้น โดยบังคับเอก 3 โท 2 ตำแหน่งเดียวกับโคลงสองดั้น ตัวอย่างจากลิลิตนารายณ์สิบปาง
๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | | ๐ ๐ ๐ เอก โท |
๐ ๐ ๐ เอก โท | | เอก ๐ (๐ ๐) |
๏ มุ่งตรงสู่สรยุ | | บรรลุถึงฝั่งใต้ |
เดินเลียบฝั่งนั่นไซร้ | | ไป่นาน ๚ะ |
๏ ประมาณได้โยชน์หนึ่ง | | จึงพระดาบสเถ้า |
สั่งสองโอรสเจ้า | | หยุดพลัน ๚ะ |
การใช้โคลงสามในวรรณกรรม
กวีไม่นิยมใช้โคลงสามแต่งวรรณกรรมตลอดเรื่อง นิยมแต่งสลับกับร่ายและโคลงชนิดอื่น ๆ รวมทั้งนิยมแต่งน้อยกว่าโคลงสองมาก อนึ่ง โคลงสามดั้นเริ่มปรากฏในวรรณกรรมสมัยรัตนโกสินทร์นี้เอง มีหลักฐานอยู่ในมหาชาติคำหลวง กัณฑ์ทานกัณฑ์ ซึ่งแต่งโดย พระรัตนมุนี วัดราชสิทธาราม ในสมัยรัชกาลที่ 2
โคลงสี่
โคลงสี่ เป็นโคลงที่กวีนิยมแต่งมากที่สุดในกระบวนโคลง สามารถจำแนกโคลงสี่ออกได้หลายประเภท ดังนี้
โคลงสี่ในจินดามณี
ในจินดามณี ฉบับพระโหราธิบดี กล่าวถึงวิธีการแต่งโคลงสี่ไว้หลายชนิดด้วยกัน คือ โคลงสี่สุภาพ โคลงตรีเพชรทัณฑี โคลงจัตวาทัณฑี โคลงขับไม้ โคลงในกาพย์ห่อโคลง โคลงดั้น ฯลฯ
โคลงสี่สุภาพ
๐ ๐ ๐ เอก โท | | ๐ x (๐ ๐) |
๐ เอก ๐ ๐ x | | เอก โท |
๐ ๐ เอก ๐ x | | ๐ เอก (๐ ๐) |
๐ เอก ๐ ๐ โท | | เอก โท ๐ ๐ |
หนึ่งบทมี 30 คำ แบ่งเป็น 4 บาท 3 บาทแรก บาทละ 7 คำ บาทที่สี่ 9 คำ แต่ละบาทแบ่งเป็น 2 วรรค วรรคแรก 5 คำ วรรคหลัง 2 คำ เว้นบาทสุดท้าย 4 คำ มีสร้อยได้ 2 แห่ง โคลงบังคับเอก 7 โท 4 ตามตำแหน่ง สัมผัสคำที่ 7 บาทแรกกับคำที่ 5 ของบาทที่สองและบาทที่สาม กับสัมผัสคำที่ 7 บาทที่สองกับคำที่ 5 บาทที่สี่ เอกโทในบาทแรกอาจสลับที่กันได้ และอนุโลมให้ใช้คำตายแทนเอกได้ ดังตัวอย่าง
๏ เสียงลือเสียงเล่าอ้าง | | อันใด พี่เอย |
เสียงย่อมยอยศใคร | | ทั่วหล้า |
สองเขือพี่หลับไหล | | ลืมตื่น ฤๅพี่ |
สองพี่คิดเองอ้า | | อย่าได้ถามเผือ ๚ะ |
— ลิลิตพระลอ |
โคลงตรีเพชรทัณฑี
๐ ๐ ๐ เอก โท | | ๐ x (๐ ๐) |
๐ เอก x ๐ ๐ | | เอก โท |
๐ ๐ เอก ๐ x | | ๐ เอก (๐ ๐) |
๐ เอก ๐ ๐ โท | | เอก โท ๐ ๐ |
โคลงตรีเพชรทัณฑีนี้แสดงไว้แต่ตัวอย่าง แต่อาจสังเกตไว้ว่าเหมือนโคลงสี่สุภาพ แต่เลื่อนสัมผัสในบาทที่สอง จากเดิมคำที่ 5 ไปเป็นคำที่ 3 แทน ดังตัวอย่าง
๏ ปางนั้นสองราชไท้ | | ดาบศ |
สาพิมตไปมา | | กล่าวแก้ว |
ประทานราชเอารส | | สองราช |
เวนแต่ชูชกแล้ว | | จึ่งไท้ชมทาน ๚ะ |
— (มหาชาติคำหลวง:สักกบรรพ) |
ในจินดามณี ฉบับหลวงวงศาธิราชสนิท เรียกโคลงแบบนี้ว่า โคลงตรีพิธพรรณ
โคลงจัตวาทัณฑี
๐ ๐ ๐ เอก โท | | ๐ x (๐ ๐) |
๐ เอก ๐ x ๐ | | เอก โท |
๐ ๐ เอก ๐ x | | ๐ เอก (๐ ๐) |
๐ เอก ๐ ๐ โท | | เอก โท ๐ ๐ |
โคลงจัตวาทัณฑี ก็คือโคลงสี่สุภาพที่เลื่อนคำรับสัมผัสในบาที่สองจากคำที่ 5 มาเป็นคำที่ 4 นั่นเองตามตัวอย่าง
๏ โคลงหนึ่งนามแจ้งจัต- | | วาทัณ ฑีฤๅ |
บังคับรับกันแสดง | | อย่างพร้อง |
ขบวรแบบแยบยลผัน | | แผกชนิด อื่นเอย |
ที่สี่บทสองคล้อง | | ท่อนท้ายบทปถม ๚ะ |
โคลงขับไม้
๐ ๐ ๐ ๐ โท | | ๐ x (๐ ๐) |
๐ ๐ ๐ ๐ x | | ๐ โท |
๐ ๐ ๐ ๐ x | | ๐ ๐ (๐ ๐) |
๐ ๐ ๐ ๐ โท | | ๐ โท ๐ ๐ |
โคลงขับไม้ เป็นโคลงสี่สุภาพที่ไม่บังคับเอก บังคับแต่โทสี่แห่ง บาทแรกโทจะอยู่คำที่ 4 หรือ 5 ก็ได้ ให้แต่งครั้งละ 2 บท มีสัมผัสระหว่างบทด้วย ตัวอย่าง
๏ พระเกียรติรุ่งฟุ้งเฟื่อง | | ฦๅชา |
ทั่วท่วนทุกทิศา | | นอบน้อม |
ทรงนามไท้เอกา | | ทศรถ |
กระษัตรมาขึ้นพร้อม | | บ่เว้นสักคน ๚ะ |
๏ เดชพระบารมีล้น | | อนันต์ |
จักนับด้วยกัปกัลป์ | | ฤๅได้ |
สมภารภูลแต่บรรพ์ | | นาเนก |
ยิ่งบำเพ็งเพิ่มไว้ | | กราบเกล้าโมทนา ๚ะ |
โคลงกระทู้
โคลงกระทู้ เป็นลักษณะพิเศษของการแต่งโคลง โดยบังคับคำขึ้นต้นแต่ละบาทของโคลงส่วนมากมักใช้แต่งกับโคลงสี่ ซึ่งกำชัย ระบุว่า โคลงกระทู้คือโคลงสี่สุภาพนั่นเอง
-
-
- บาทละหนึ่งคำ เรียกว่า กระทู้เดี่ยว
- บาทละสองคำ เรียกว่า กระทู้คู่
- บาทละสามคำ เรียกว่า กระทู้สาม
- บาทละสี่คำ เรียกว่า กระทู้สี่
ลักษณะการใช้กระทู้อาจใช้คำเดียวกันทุกบาท หรือคำต่างชุดกันก็ได้ ถ้าเป็นคำเดียวกันเรียกว่า กระทู้ยืน คำที่นำมาเป็นกระทู้อาจจะมีความหมายหรือไม่ก็ได้ เช่น ทะ-ลุ่ม-ปุ่ม-ปู อาจเป็นคำคล้องจองก็ได้ เช่น หัวล้านได้หวี ตาบอดได้แว่น หรืออาจมีข้อความอื่นใดตามความประสงค์ของผู้ประพันธ์
ตัวอย่างโคลงกระทู้ ทะ-ลุ่ม-ปุ่ม-ปู
๏ ทะ แกล้วซากเกลื่อนฟื้น | | อยุธยา |
ลุ่ม แห่งเลือดน้ำตา | | ท่วมหล้า |
ปุ่ม อิฐฝุ่นทรายสา- | | มารถกล่าว |
ปู แผ่สัจจะกล้า | | ป่าวฟ้าดินฟัง ๚ะ |
— กระทู้พม่า |
โคลงกระทู้กวีมักใช้แต่งท้ายเรื่อง เพื่อบอกจุดมุ่งหมายในการแต่งหรือชื่อผู้แต่ง นอกนั้นแต่งแทรกไว้ในวรรณกรรมเพื่อเพิ่มความไพเราะ แสดงความสามารถของผู้แต่ง นอกจากนี้กวีอาจจะดัดแปลงโคลงกระทู้ให้พิศดารตามความประสงค์ก็ได้ เช่น กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ทรงแต่งกาพย์สุรางค์คนางค์ 28 จำนวน 5 บท แล้วนำคำในกาพย์แต่ละวรรคแยกเป็นกระทู้เดี่ยวในโคลงกระทู้ 35 บท หรือนายชิต บุรทัต แต่งวิชชุมาลาฉันท์ 4 บท แล้วนำคำในแต่ละวรรคไปแยกเป็นกระทู้เดี่ยวเป็นโคลง 32 บท เป็นต้น
โคลงสี่ดั้น
ในจินดามณีฉบับพระโหราธิบดี เรียกว่า "ฉันทจรรโลงกลอนดั้น" และมิได้อธิบายอะไร เพียงแต่ยกตัวอย่างโคลงไว้เท่านั้น ต่อมาในจินดามณีฉบับหลวงวงศาธิราชสนิทจึงปรากฏแผนผังสมบูรณ์ และจำแนกโคลงดั้นออกเป็น 2 ชนิด คือ โคลงดั้นวิวิธมาลี และโคลงดั้นบาทกุญชร ตามลักษณะการส่งสัมผัสระหว่างบท ดังตัวอย่าง
๐ ๐ ๐ เอก โท | | ๐ x (๐ ๐) |
๐ เอก ๐ ๐ ๐ | | เอก โท |
๐ ๐ เอก ๐ x | | ๐ เอก (๐ ๐) |
๐ เอก ๐ โท โท | | เอก y |
๐ ๐ ๐ เอก โท | | ๐ x (๐ ๐) |
๐ เอก ๐ ๐ y | | เอก โท |
๐ ๐ เอก ๐ x | | ๐ เอก (๐ ๐) |
๐ เอก ๐ โท โท | | เอก ๐ |
- โคลงดั้นวิวิธมาลี หนึ่งบทมี 28 คำ 4 บาท บาทละ 7 คำ แบ่งเป็นบาทละ 2 วรรค วรรคแรก 5 คำ วรรคหลัง 2 คำ เอก 7 โท 4 เหมือนโคลงสี่สุภาพ ต่างกันที่ตำแหน่งเอกโทในบาทสุดท้าย คำที่ 4 -5 เป็นโทคู่ ส่งสัมผัสระหว่างบทแห่งเดียว คือ คำสุดท้ายบทแรกไปยังคำที่ 5 ในบาทที่สองของบทต่อไป ดังตัวอย่าง
๏ เชลงกลโคลงอย่างดั้น | | บรรยาย |
เสนอชื่อวิวิธมาลี | | เล่ห์นี้ |
ปวงปราชญ์ทั่วทวยหลาย | | นิพนธ์เล่น เทอญพ่อ |
ยลเยี่ยงฉบับพู้นชี้ | | เช่นแถลง ๚ะ |
๏ เป็นอาภรณ์แก้วก่อง | | กายกระวี ชาติเอย |
อาตมโอ่โอภาสแสง | | สว่างหล้า |
เถกิลเกียรติเกริ่นธรณี | | ทุกแหล่ง หล้านา |
ฦๅทั่วดินฟ้าฟุ้ง | | เฟื่องคุณ ๚ะ |
- โคลงดั้นบาทกุญชร บังคับเหมือนวิวิธมาลี แต่ส่งสัมผัสระหว่างบท 2 แห่ง จากคำสุดท้ายบาทที่ 3 บทแรกไปยังคำที่ 4 หรือ 5 (คำเอก) ของบทต่อไป กับคำสุดท้ายบาทที่ 4 บทแรกไปคำที่ 5 บาทที่สองของบทต่อไป ดังตัวอย่าง
๏ อีกโคลงดั้นหนึ่ง | | พึงยล |
บอกเช่นบาทกุญชร | | ชื่ออ้าง |
วิธีที่เลบงกล | | แปลกก่อน |
ยากกว่าบรรพ์แสร้งสร้าง | | อื่นแปลง ๚ะ |
๏ สองรวดกลอนห่อนพลั้ง | | ผิดพจน์ |
เฉกสี่เชิงสารแสดง | | ย่างผ้าย |
สัมผัสทั่วทุกบท | | ฤๅเคลื่อน คลายเอย |
บงดั่งบาทข้างย้าย | | ต่อตาม ๚ะ |
โคลงสี่ในตำรากาพย์
เนื่องจากโคลงจากตำรากาพย์ไม่ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมเรื่องใดเลย มีอยู่แต่ในตำราแต่งคำประพันธ์เท่านั้น ปราชญ์รุ่นก่อนมักเรียกโคลงเหล่านี้ว่า โคลงโบราณ
กาพย์สารวิลาสินี
ในคัมภีร์กาพย์สารวิลาสินีมีโคลงอยู่ 8 ชนิด ได้แก่ วิชชุมาลี มหาวิชชุมาลี จิตรลดา มหาจิตรลดา สินธุมาลี มหาสินธุมาลี นันททายี และมหานันททายี มีลักษณะเด่นคือ ไม่บังคับเอกโท บังคับแต่จำนวนคำ และสัมผัส
โคลง 8 ชนิดที่ดัดแปลงมาจากกาพย์สารวิลาสินีดังกล่าวยังอาจแบ่งได้อีกเป็นสองกลุ่ม ดังต่อไปนี้
กลุ่มที่หนึ่ง เป็นโคลงที่มียี่สิบแปดคำ (หนึ่งบทมีสี่บาท หนึ่งบาทมีสองวรรค วรรคหน้ามีห้าคำ วรรคหลังมีสองคำ รวมเป็นยี่สิบแปดคำ) ได้แก่ 1) โคลงวิชชุมาลี 2) โคลงจิตรลดา 3) โคลงสินธุมาลี และ 4) โคลงนันททายี โคลงกลุ่มนี้สังเกตได้จากการที่มีวรรคสุดท้ายของบทเพียงสองคำ
กลุ่มที่สอง เป็นโคลงที่มีสามสิบคำ (หนึ่งบทมีสี่บาท หนึ่งบาทมีสองวรรค วรรคหน้ามีห้าคำ วรรคหลังมีสองคำ ยกเว้นวรรคสุดท้ายของบทมีสี่คำ รวมเป็นสามสิบคำ) ได้แก่ 1) โคลงมหาวิชชุมาลี 2) โคลงมหาจิตรลดา 3) โคลงมหาสินธุมาลี และ 4) โคลงมหานันททายี โคลงกลุ่มนี้สังเกตได้จากการที่มีวรรคสุดท้ายของบทเพียงสี่คำ และมีคำ “มหา” นำหน้าชื่อ
โคลงวิชชุมาลี และโคลงมหาวิชชุมาลี
-
- วิชชุมาลี แปลว่า มีระเบียบคำกล่าวประหนึ่งว่าสายฟ้าแลบ
- มหาวิชชุมาลี แปลว่า มีระเบียบคำกล่าวประหนึ่งว่าสายฟ้าแลบใหญ่
-
- ตัวอย่างโคลงวิชชุมาลี
๏ ข้าพระพุทธเกล้า | | มุนินทร์ |
ลายลักษณ์พระบาทหัตถ์ | | วิจิตร |
ชนนิกรไหว้อาจิณ | | คืนค่ำ |
ตั้งกระหม่อมข้านิตย์ | | เท่ามรณ์ ๚ะ |
|
-
- ตัวอย่างโคลงมหาวิชชุมาลี
๏ ข้าพระพุทธเกล้า | | มุนินทร์ |
ลายลักษณ์พระบาทหัตถ์ | | วิจิตร |
ชนนิกรไหว้อาจิณ | | คืนค่ำ |
ตั้งกระหม่อมข้านิตย์ | | ต่อเท่าเมื่อมรณ์ ๚ะ |
|
โคลงจิตรลดา และโคลงมหาจิตรลดา
-
- จิตรลดา แปลว่า มีระเบียบคำเกี่ยวพันกันประหนึ่งว่าเครือเถาอันงาม
- มหาจิตรลดา แปลว่า มีระเบียบคำเกี่ยวพันกันประหนึ่งว่าเครือเถาอันงามยิ่ง
-
- ตัวอย่างโคลงจิตรลดา
๏ พระจันทร์เพ็งภาคแผ้ว | | สรัทกาล |
ชช่วงโชติพรายงาม | | รุ่งฟ้า |
ให้คนชื่นบานนิตย์ | | ทุกหมู่ |
รัศมีเรืองกล้าแหล่ง | | เวหา ๚ะ |
|
-
-
- ตัวอย่างโคลงมหาจิตรลดา
๏ พระจันทร์เพ็งภาคแผ้ว | | สรัทกาล |
ชช่วงโชติพรายงาม | | รุ่งฟ้า |
ให้คนชื่นบานนิตย์ | | ทุกหมู่ |
รัศมีเรืองกล้าแหล่ง | | แห่งห้วงเวหา ๚ะ |
|
โคลงสินธุมาลี และโคลงมหาสินธุมาลี
-
- สินธุมาลี แปลว่า มีระเบียบคำกล่าวประหนึ่งว่าระเบียบคลื่นในแม่น้ำ
- มหาสินธุมาลี แปลว่า มีระเบียบคำกล่าวประหนึ่งว่าระเบียบคลื่นในแม่น้ำใหญ่
-
- ตัวอย่างโคลงสินธุมาลี
๏ ข้าแต่พระพุทธเจ้า | | ใจปราชญ์ |
รัศมีองค์โอภาส | | รุ่งฟ้า |
พระสุรเสียงเพราะฉลาด | | โลมโลก |
สัตบุรุษทั่วหล้า | | ชมนิตย์ ๚ะ |
|
-
- ตัวอย่างโคลงมหาสินธุมาลี
๏ ข้าแต่พระพุทธเจ้า | | ใจปราชญ์ |
รัศมีองค์โอภาส | | รุ่งฟ้า |
พระสุรเสียงเพราะฉลาด | | โลมโลก |
สัตบุรุษทั่วหล้า | | ชมนิตย์ชื่นธรรม ๚ะ |
|
โคลงนันททายี และโคลงมหานันททายี
-
- นันททายี แปลว่า มีระเบียบคำกล่าวเป็นที่ให้ซึ่งความเพลิดเพลินแก่บุคคลผู้ฟัง
- มหานันททายี แปลว่า มีระเบียบคำกล่าวเป็นที่ให้ซึ่งความเพลิดเพลินแก่บุคคลผู้ฟังยิ่ง
-
- ตัวอย่างโคลงนันททายี
๏ พระสุริยทรงเดช | | เสด็จฉาย |
หาวหนพรายพรายเรือง | | รุ่งเร้า |
ปทุมิกรผายกลีบ | | รสคลี่ |
เฉกพระพุทธเจ้าตรัส | | เตือนโลก ๚ะ |
|
-
- ตัวอย่างโคลงมหานันททายี
๏ พระสุริยทรงเดช | | เสด็จฉาย |
หาวหนพรายพรายเรือง | | รุ่งเร้า |
ปทุมิกรผายกลีบ | | รสคลี่ |
เฉกพระพุทธเจ้าตรัส | | เตือนโลกเห็นธรรม ๚ะ |
|
กาพย์คันถะ
ในคัมภีร์กาพย์คันถะ มีโคลงสี่อยู่ 2 ชนิด คือ ทีฆปักข์ และรัสสปักข์ มีลักษณะเด่นเช่นเดียวกับโคลงในกาพย์สารวิลาสีนี คือ ไม่บังคับเอกโท กำหนดแต่จำนวนคำและสัมผัส
โคลงทีฆปักข์
-
- ทีฆปักข์ แปลว่า มีฝักฝ่ายยาว เพราะคำรับสัมผัสผ่อนยาวออกไปทุกบาท ตั้งแต่คำที่ 5 - 4 - 3 ตามลำดับ
๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | | ๐ x |
๐ ๐ ๐ ๐ x | | ๐ y |
๐ ๐ ๐ x ๐ | | ๐ ๐ |
๐ ๐ y ๐ ๐ | | ๐ ๐ |
๏ หญิงดำขำเกลี้ยงยิ่ง | | มีสี |
ธรรมอื่นเทียมขันตี | | ไป่ได้ |
คำชาวบุรีไพ | | เราะพ่อ |
สัตว์สบใกล้สีหลี้ | | หลบแสยง ๚ะ |
โคลงรัสสปักข์
-
- รัสสปักข์ แปลว่า มีฝักฝ่ายสั้น เพราะคำรับสัมผัสคงที่คำรับคำที่ 5 ทุกบาท
๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | | ๐ x |
๐ ๐ ๐ ๐ x | | ๐ ๐ |
๐ ๐ ๐ ๐ x | | ๐ ๐ |
๐ ๐ ๐ ๐ x | | ๐ ๐ ๐ ๐ |
๏ ชนใดหลงเล่ห์เกื้อ | | กลกาม |
ลุเล่ห์กิเลสราม | | รื่นเร้า |
ชนนั้นจะพ้นความ | | ทุกข์ฤๅ |
กระวีพึงเว้นข้าม | | แห่งห้วงกามา ๚ะ |
เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้โคลงชนิดต่าง ๆ ในคัมภีร์กาพย์จะบอกว่ามิได้บังคับเอกโท แต่ตัวอย่างที่ให้ไว้ส่วนใหญ่มักมีเอกโท ตามตำแหน่งที่เด่นของโคลงสี่เสมอ
โคลงสี่ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประดิษฐ์ขึ้น
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดัดแปลงสัมผัสของโคลงในตำรากาพย์สารวิลาสีนีทั้ง 4 ชนิด แล้วทรงเรียกว่า โคลงโบราณแผลง ดังตัวอย่าง
โคลงวิชชุมาลีแผลง
-
- เปลี่ยนการรับสัมผัสจากคำที่ 5 บาทที่สี่เป็นคำที่ 4 บาทที่สี่แทน
๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | | ๐ x |
๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | | ๐ y |
๐ ๐ ๐ ๐ x | | ๐ ๐ |
๐ ๐ ๐ y ๐ | | ๐ ๐ |
๏ ข้าแต่พระพุทธเกล้า | | มุนินทร์ |
ลายลักษณะบาทหัตถ์ | | วิจิตร |
ชนนิกรไหว้อาจิณ | | คืนค่ำ |
ตั้งกระหม่อมนิตย์ข้า | | ดุษฎี ๚ะ |
โคลงจิตรลดาแผลง
-
- เปลี่ยนการรับสัมผัสในบาทที่สี่ จากคำที่ 4 มาเป็นคำที่ 5
๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | | ๐ x |
๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | | ๐ y |
๐ ๐ ๐ x ๐ | | ๐ ๐ |
๐ ๐ ๐ ๐ y | | ๐ ๐ |
๏ พระจันทรเพ็ญแผ้ว | | สรัทกาล |
ชะช่วงโชติพรายงาม | | รุ่งฟ้า |
ให้คนชื่นบานนิตย์ | | ทุกหมู่ |
รัศมีเรืองโรจน์กล้า | | เวหา ๚ะ |
โคลงสินธุมาลีแผลง
-
- เปลี่ยนคำสัมผัสในบาทที่สี่ จากเดิมคำที่ 5 มาเป็นคำที่ 4
๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | | ๐ x |
๐ ๐ ๐ ๐ x | | ๐ y |
๐ ๐ ๐ ๐ x | | ๐ ๐ |
๐ ๐ ๐ y ๐ | | ๐ ๐ |
๏ ข้าแต่พระพุทธเจ้า | | ใจปราชญ์ |
รัศมีองค์โอภาส | | รุ่งฟ้า |
พระสุรเสียงเพราะฉลาด | | โลมโลก |
สัตบุรุษส้าเสก | | ชมนิตย์ ๚ะ |
โคลงนันททายีแผลง
-
- เปลี่ยนคำสัมผัสในบาทที่สี่ จากเดิมคำที่ 5 มาเป็นคำที่ 4
๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | | ๐ x |
๐ ๐ ๐ x ๐ | | ๐ y |
๐ ๐ ๐ x ๐ | | ๐ ๐ |
๐ ๐ ๐ y ๐ | | ๐ ๐ |
๏ พระสุริยะทรงเดช | | เสด็จฉาย |
หาวหนพรายพรายเรือง | | รุ่งเร้า |
ปทุมิกรผายกลีบ | | รสคลี่ |
เฉกพระเป็นเจ้าตรัส | | เตือนโลก ๚ะ |
นอกจากนี้ ด้วยการเปลี่ยนแปลงการส่งสัมผัส พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประดิษฐ์โคลงเลียนแบบโคลงในตำรากาพย์ คือไม่บังคับเอกโท อีก 4 แบบ ใช้ในพระราชนิพนธ์กถานมัสการพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และพระรัตนตรัย คือ โคลงวชิระมาลี โคลงมุกตะมาลี โคลงรัตนะมาลี และโคลงจิตระมาลี ดังตัวอย่ง
โคลงวชิระมาลี
๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | | ๐ x |
๐ ๐ ๐ x ๐ | | ๐ y |
๐ ๐ ๐ ๐ x | | ๐ ๐ |
๐ ๐ ๐ ๐ y | | ๐ ๐ |
๏ องค์พระพุทธเจ้า | | โคบาล |
สอนธรรมสมานจิต | | สัตบุรุษ |
นำแน่วสู่นิรพาณ | | พ้นทุกข์ |
พระนราสภสุทธิ์ | | ศาสดา ๚ะ |
โคลงมุกตะมาลี
๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | | ๐ x |
๐ ๐ ๐ x ๐ | | ๐ y |
๐ ๐ ๐ ๐ x | | ๐ ๐ |
๐ ๐ ๐ y ๐ | | ๐ ๐ |
๏ ธรรมชาติดิเรกรุ้ง | | ชวลิต |
น้อมนำดวงจิตรจร | | สู่ชอบ |
สละไตรทุจริต | | เห็นโทษ |
ธรรมะดั่งกอบแก้ว | | โกยทอง ๚ะ |
โคลงรัตนะมาลี
๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | | ๐ x |
๐ ๐ ๐ ๐ x | | ๐ y |
๐ ๐ ๐ x ๐ | | ๐ ๐ |
๐ ๐ ๐ ๐ y | | ๐ ๐ |
๏ อีกผองสาวกเจ้า | | ทรงจำ |
กำหนดบทพระธรรม | | สอนโลก |
สงฆ์ประดุจนำทาง | | รอดบาป |
เหมือนช่วยให้ส่างโศก | | สุดภัย ๚ะ |
โคลงจิตระมาลี
๐ ๐ ๐ ๐ ๐ | | ๐ x |
๐ ๐ ๐ ๐ x | | ๐ y |
๐ ๐ ๐ x ๐ | | ๐ ๐ |
๐ ๐ ๐ y ๐ | | ๐ ๐ |
๏ ไตรรัตน์ชงัดยิ่ง | | เทวัญ |
ใครพึ่งพึงสู่สวรรค์ | | แม่นแท้ |
ไตรรัตน์ย่อมกันภัย | | อุบาทว์ |
ใครพึ่งถึงแม้ทุกข์ | | เสื่อมสูญ ๚ะ |
ความแตกต่างของโคลงสี่ในวรรณกรรมกับโคลงสี่ในตำราคำประพันธ์
โคลงสี่ปรากฏในวรรณกรรมตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยในสมัยอยุธยาตอนต้น เป็นโคลงสี่สุภาพ 3 เรื่องคือ ลิลิตพระลอ โคลงนิราศหริภุญชัย โคลงมังทราตีเชียงใหม่ โคลงดั้นมี 1 เรื่องคือ ลิลิตยวนพ่าย
สมัยอยุธยาตอนกลางโคลงสี่เป็นที่นิยมที่สุด มีวรรณกรรมแต่งด้วยโคลงสี่ถึง 9 เรื่อง ได้แก่ โคลงเรื่องพาลีสอนน้อง โคลงทศรถสอนพระราม โคลงราชสวัสดิ์ กำศรวลโคลงดั้น โคลงเฉลิมพระเกียรติพระนารายณ์มหาราช โคลงนิราศนครสวรรค์ กาพย์ห่อโคลงและโคลงอักษรสามของพระศรีมโหสถ และโคลงทวาทศมาส ในจำนวนนี้เป็นโคลงสี่สุภาพ 7 เรื่อง โคลงสี่ดั้น 2 เรื่อง
สมัยธนบุรีมี 2 เรื่องคือ โคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุรี และลิลิตเพชรมงกุฎ
สมัยรัตนโกสินทร์ กวีนิยมแต่งคำประพันธ์ประเภทกลอน วรรณกรรมที่แต่งด้วยโคลงเด่น ๆ ได้แก่ โคลงดั้นเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โคลงนิราศตามเสด็จลำน้ำน้อย ลิลิตตะเลงพ่าย โคลงดั้นปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ โคลงนิราศนรินทร์ ลิลิตนารายณ์สิบปาง และสามกรุง เป็นต้น
โคลงสี่ที่กวีนิยมใช้ในวรรณกรรมคือโคลงสี่สุภาพและโคลงดั้นที่ปรากฏอยู่ในจินดามณี ส่วนโคลงสี่ในตำรากาพย์ไม่พบว่ากวีใช้แต่งวรรณกรรม นอกจากงานของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเท่านั้น
วรรณกรรมในแต่ละสมัย กวีใช้โคลงที่มีลักษณะบังคับแตกต่างจากตำราฉันทลักษณ์สรุปได้ 3 ข้อใหญ่ ๆ คือ
1.การบังคับเอก-โท
มีการใช้ลักษณะ เอก 7 โท 5 และใช้โทคู่ในโคลงสี่สุภาพ เช่น ลิลิตพระลอ มหาชาติคำหลวง โคลงมังทรารบเชียงใหม่ และโคลงนิราศหริภุญชัย
32 ๏ ความคิดผิดรีตได้ | | ความอาย พี่เอย |
หญิงสื่อชักชวนชาย | | สู่หย้าว |
เจ็บเผือว่าแหนงตาย | | ดีกว่า ไสร้นา |
เผือหากรักท้าวท้าว | | ไม่รู้จักเผือ ๚ะ |
33 ๏ ไป่ห่อนเหลือคิดข้า | | คิดผิด แม่นา |
คิดสิ่งเป็นกลชิด | | ชอบแท้ |
มดหมอแห่งใดสิทธิ์ | | จักสู่ ธแม่ |
ให้ลอบลองท้าวแล้ | | อยู่ได้ฉันใด ๚ะ |
— ลิลิตพระลอ |
มีการใช้เอก 7 โท 3 และไม่ใช้โทคู่ในโคลงสี่ดั้น เช่น ลิลิตยวนพ่าย โคลงทวาทศมาส กำสรวลโคลงดั้น และโคลงดั้นเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
7 ๏ พระมล้างท้าวทั่ว | | ธรณี |
อันอาจเอากลเอา | | ฬ่อเลี้ยง |
พระมาก่อภูมี | | ศวรราช |
อันอยู่โดยยุคติเพี้ยง | | พ่างอารย ๚ะ |
8 ๏ พระมาแมนสาธุส้อง | | ถวายพร เพิ่มแฮ |
มาสำแดงชัยชาญ | | เชี่ยวแกล้ว |
พระมารบาลบร | | ทุกทวีป ไส้แฮ |
มาสำแดงฤทธิแผ้ว | | แผ่นดิน ๚ะ |
— ลิลิตยวนพ่าย |
ดังนั้น หากนับจากข้อมูลในวรรณกรรม โคลงสี่ จึงควรมี 4 รูปแบบคือ
- โคลงสี่สุภาพ เอก 7 โท 4
- โคลงสี่สุภาพ เอก 7 โท 5 (โทคู่)
- โคลงสี่ดั้น เอก 7 โท 4
- โคลงสี่ดั้น เอก 7 โท 3 (โทเดี่ยว)
2.การส่งสัมผัส
สัมผัสระหว่างบาท ในตำราฉันทลักษณ์กำหนดสัมผัสระหว่างบาทของโคลงไว้ 4 แบบคือ แบบโคลงสี่สุภาพ แบบโคลงตรีเพชรทัณฑี(หรือโคลงตรีพิธพรรณ) แบบโคลงจัตวาทัณฑี และแบบโคลงสี่ดั้น
ทั้งนี้การกำหนดตรีพิธพรรณ หรือ จัตวาทัณฑีกำหนดที่คำรับสัมผัสในบาทที่สอง ส่วนบาทอื่น ๆ บังคับรับสัมผัสคำที่ 5 แต่เท่าที่ปรากฏในวรรณกรรม กวีมีอิสระที่จะรับสัมผัสในคำที่ 3, 4 หรือ 5 ของทุกบาทในโคลงดั้น และเรียกตามลักษณะคำรับสัมผัสว่า ตรีพิธพรรณหรือจัตวาทัณฑีด้วย เช่น
ตรีพิธพรรณในบาที่สาม จัตวาทัณฑีในบาทที่ 4
๏ เร่งหมั้นเหลือหมั้นยิ่ง | | เวียงเหล็ก |
มีกำแพงแลงเลือน | | ต่อต้าย |
หัวเมืองเต็กเสียงกล่าว | | แก่บ่าว |
ทังขวาทังซ้ายถ้วน | | หมู่หมาย ๚ะ |
— กำสรวลโคลงดั้น |
จัตวาทัณฑี รับสัมผัสคำที่ 4 บาทสามและสี่
๏ ทสพิธธรรมโมชแท้ | | ทศสกนธ |
ทศพัสดุแสดงทส | | เกลศกลั้ว |
ทศกายพลทศ | | พลภาคย ก็ดี |
ทศอศุภหมั้วห้อม | | ห่อสกนธ์ ๚ะ |
— ลิลิตยวนพ่าย |
สัมผัสระหว่างบท
โดยทั่วไปการส่งสัมผัสระหว่างบทของโคลงสี่ในวรรณกรรมมี 3 แบบ คือ
- แบบที่ 1 ส่งจากคำสุดท้ายของบทแรก ไปยังคำใดคำหนึ่งในวรรคแรกของบทต่อไป มักใช้กับโคลงสี่สุภาพ
- แบบที่ 2 ส่งจากคำสุดท้ายบทแรกไปยังคำที่ 4 หรือ 5 บาทที่สองในบทต่อไป ใช้กับโคลงสี่ดั้นวิวิธมาลี
- แบบที่ 3 ส่งจากคำสุดท้ายบาท 3 ในบทแรกไปยังคำที่ 3, 4 หรือ 5 ในวรรคแรกบทต่อไป กับจากคำสุดท้ายบาท 4 ในบทแรก ไปยังคำที่ 4, 5 ในวรรคแรกบาทสองของบทต่อไป ใช้กับโคลงสี่ดั้นบาทกุญชร
แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีวรรณกรรมบางเรื่องส่งสัมผัสระหว่างบทออกไป เช่น ในมหาชาติคำหลวง กัณฑ์มหาพน มีโคลงสี่สุภาพและโคลงตรีพิธพรรณส่งสัมผัสระหว่างบทแบบโคลงบาทกุญชร ในจิดามณี มีโคลงขับไม้ส่งสัมผัสระหว่างบทแบบโคลงวิวิธมาลี ในลิลิตนารายณ์สิบปาง และพระนลคำหลวง มีโคลงสี่ดั้น และโคลงในตำรากาพย์ ส่งสัมผัสระหว่างบทแบบโคลงสี่สุภาพ
3.การใช้คำสร้อย
ตามตำราฉันทลักษณ์กำหนดไว้ว่า โคลงสี่มีสร้อยได้สองแห่งคือท้ายวรรคแรก และท้ายวรรคที่สาม แต่ในวรรณกรรมกวีทุกสมัยตั้งแต่อยุธยาจนกระทั่งถึงรัชการที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แต่งโคลงสี่โดยมีสร้อย 3 แห่ง คือ มีสร้อยในบาที่ 4 ด้วย ทั้งโคลงดั้น และโคลงสี่สุภาพ ตัวอย่าง
๏ โฉมแม่จักฝากฟ้า | | เกรงอินทร หยอกนา |
อินทรท่านเทอกโฉมเอา | | สู่ฟ้า |
โฉมแม่จักฝากดิน | | ดินท่าน แล้วแฮ |
ดินฤขัดเจ้าหล้า | | สู่สมสองสม ๚ะ |
๏ โฉมแม่ฝากน่านน้ำ | | อรรณพ แลฤๅ |
เยียวนาคเชยชมอก | | พี่ไหม้ |
โฉมแม่รำพึงจบ | | จอมสวาสดิ์ กูเอย |
โฉมแม่ใครสงวนได้ | | เท่าเจ้าสงวนเอง ๚ะ |
— กำสรวลโคลงดั้น |
๏ ตีอกโอ้ลูกแก้ว | | กลอยใจ แม่เฮย |
เจ้าแม่มาเป็นใด | | ดั่งนี้ |
สมบัติแต่มีใน | | ภาพแผ่น เรานา |
อเนกบรู้กี้ | | โกฏิไว้จักยา พ่อนา ๚ะ |
— ลิลิตพระลอ |
๏ จรุงพจน์จรดถ้อยห่าง | | ทางกวี |
ยังทิวาราตรี | | ไม่น้อย |
เทพใดหฤทัยมี | | มาโนชญ์ |
เชิญช่วยอวยให้ข้อย | | คล่องถ้อยคำแถลง เถิดรา ๚ะ |
— สามกรุง |
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า โคลงสี่วรรณคดีมีการใช้สร้อยทั้ง 3 แห่ง คือ บาทแรก บาทที่สาม และบาทที่สี่
โคลงห้า
โคลงห้า เป็นคำประพันธ์ที่ปรากฏอยู่ในวรรณกรรมเพียงเรื่องเดียว คือ ลิลิตโองการแช่งน้ำ ซึ่งเป็นวรรณกรรมร้อยกรองยุคแรกของไทย และไม่ปรากฏว่าต่อมามีกวีใช้โคลงห้าแต่งวรรณกรรมเรื่องใดอีกเลย
ในจินดามณี ฉบับพระโหราธิบดี กล่าวถึงโคลงห้าไว้เพียงยกตัวอย่างคำประพันธ์ชื่อ มณฑกคติโคลงห้า โดยไม่มีคำอธิบาย แต่ยกตัวอย่างที่สองว่าเป็น อย่างโคลงแช่งน้ำพระพัฒน์ ซึ่งก็คือ ลิลิตโองการแช่งน้ำ นั่นเอง มีผู้พยายามอธิบายฉันทลักษณ์ของโคลงห้าอยู่หลายคนได้แก่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี (พ.ณ ประมวญมารค) พระยาอุปกิตศิลปสาร และจิตร ภูมิศักดิ์
คำอธิบายของ จิตร ภูมิศักดิ์ ค่อนข้างจะมีน้ำหนักมากกว่าข้อสันนิษฐานของคนอื่น โดยมีข้อสนับสนุนจากลักษณะโคลงลาวที่ปรากฏในวรรณคดีล้านช้างเรื่อง ท้าวฮุ่งท้าวเจือง โดยจิตร อธิบายว่า โคลงห้าเป็นโคลงดั้นชนิดหนึ่ง มีบาทละ 5 คำ นิยมแต่งในอาณาจักรลาวล้านช้างยุคโบราณ ส่งสัมผัสแบบโคลงบาทกุญชร และอาจเพิ่มคำต้นบาท รวมทั้งมีสร้อยได้ทุกบาท ทั้งยังสามารถตัดใช้เพียงบทละ 2 - 3 บาท ได้เช่นเดียวกับโคลงลาวด้วย อีกทั้งเมื่อจัดวางรูปแบบฉันทลักษณ์ตามที่จิตรเสนอ มีความเป็นไปได้ค่อยข้างมาก
ตัวอย่างโคลงห้า จากลิลิตโองการแช่งน้ำ (จัดตามรูปแบบที่จิตรแนะนำ)
๏ นานา | อเนกน้าว | เดิมกัลป์ |
จักร่ำ | จักราพาฬ | เมื่อไหม้ |
กล่าวถึง | ตระวันเจ็ด | อันพลุ่ง |
| น้ำแล้งไข้ | ขอดหาย ๚ะ |
๏ เจ็ดปลา | มันพุ่งหล้า | เป็นไฟ |
วาบ | จตุราบาย | แผ่นคว่ำ |
| ชักไตรตรึงส์ | เป็นเผ้า |
| แลบ่ล้ำ | สีลอง ๚ะ |
๏ สมรรถญาณ | ควรเพราะเกล้า | ครองพรหม |
ฝูงเทพ | นองบนปาน | เบียดแป้ง |
| สรลมเต็ม | พระสุธาวาส |
| ฟ้าแจ้งจอด | นิโรโธ ๚ะ |
๏ กล่าวถึง | น้ำฟ้าฟาด | ฟองหาว |
| ดับเดโช | ฉ่ำหล้า |
| ปลาดินดาว | เดือนแอ่น |
| ลมกล้าป่วน | ไปมา ๚ะ |
พัฒนาการของโคลง
กวีในแต่ละสมัยได้สอดแทรกประดิษฐการต่างๆ ไว้ในการแต่งโคลง เพื่อให้งานของตนมีลักษณะเด่นเป็นพิเศษขึ้นกว่าธรรมดา จากการศึกษาวิเคราะห์วรรณกรรมคำโคลงในแต่ละสมัยพบว่ามีลักษณะร่วมสมัยบางประการที่ได้พัฒนามาเป็นขนบการแต่งโคลง ซึ่งถือว่าเป็นลักษณะที่เพิ่มความไพเราะแก่โคลงนอกเหนือจากฉันทลักษณ์ปกติ ได้แก่
พัฒนาการใช้คำ
การนับคำในร้อยกรองทำได้ 2 แบบ คือ นับแยกหนึ่งพยางเป็นหนึ่งคำ กับนับรวมหลายพยางค์เป็นหนึ่งคำ ซึ่งแต่ละแบบจะให้รสของโคลงที่ต่างกัน
การแต่งโคลงโดยนับแยกหนึ่งพยางค์เป็นหนึ่งคำ
ทำให้เสียงของโคลงมีน้ำหนักชัดเจน พบในงานสมัยต้นอยุธยาเป็นส่วนใหญ่ โดยกวีเพิ่มความไพเราด้วยการซ้ำคำหรือซ้ำเสียงพยัญชนะ การเลือกใช้คำหนักเบาเพื่อสื่ออารมณ์ ตัวอย่างเช่น
๏ รบินรเบียบท้าว | | เบาราณ |
รบอบรบับยล | | ยิ่งผู้ |
ระเบียบรบิการย | | เกลากาพย ก็ดี |
รเบอดรบัดรู้ | | รอบสรรพ ๚ะ |
— ลิลิตยวนพ่าย |
๏ เสียงโหยเสียงไห้มี่ | | เรือนหลวง |
ขุนหมื่นมนตรีปวง | | ป่วยซ้ำ |
เรือนราษฎร์ร่ำตีทรวง | | ทุกข์ทั่ว กันนา |
เมืองจะเย็นเป็นน้ำ | | ย่อมน้ำตาครวญ ๚ะ |
— ลิลิตพระลอ |
การแต่งโคลงโดยนับรวมหลายพยางค์เป็นหนึ่งคำ
จะทำให้เสียงของโคลงสะบัดไหว มีจังหวะหนัก-เบา เกิดความไพเราะแปลกหู กวีผู้ชอบแต่งโคลงลักษณะนี้ ได้แก่ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ สุนทรภู่ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ และ น.ม.ส. ตัวอย่าง
๏ พระอนุชาข้าแกล้งกล่าว | | กลอนถวาย |
พยัญชนะคลาดบาทกลายหลาย | | แห่งพลั้ง |
ผิดอรรถะขจัดขจายปลาย | | สลายสล่ำ |
แม้นพลาดประมาทประมาณยั้ง | | โทษะร้ายขจายเสีย ๚ะ |
— สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ |
๏ มหาสดำคำไก่ต้น | | ทนดี |
หางตะเค่เนระภูศรี | | ซ่มกุ้ง |
ชาเลือดเหมือดคนมี | | สมอพิเภพ เอกเอย |
ลมป่วนทวนหอมฟุ้ง | | เปลือกไม้ใบยา ๚ะ |
— โคลงนิราศสุพรรณ |
๏ การเวกหรือวิเวกร้อง | | ระงมสวรรค์ |
เสนาะมิเหมือนเสนาะฉันท์ | | เสนาะซึ้ง |
ประกายฟ้าสุริยาจันทร์ | | แจร่มโลก ไฉนฤๅ |
เมฆพยับอับแสงสะอึ้ง | | อร่ามแพ้ประพนธ์เฉลย ๚ะ |
— กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ |
๏ สมบัติขัติยผู้ | | ผดุงขัณฑ์ |
เครื่องราชกกุธภัณฑ์ | | คู่แคว้น |
ฉัตรตั้งดั่งไอศวรรย์ | | เสวยราชย์ |
คนก็ยับทรัพย์แร้น | | สุดหล้าหาไหน ๚ะ |
— สามกรุง |
พัฒนาการด้านการใช้สัมผัสใน
การใช้สัมผัสอักษร
โคลงที่แต่งโดยใช้สัมผัสอักษรจะให้น้ำเสียงหนักแน่นชัดเจนกว่าโคลงที่ใช้สัมผัสสระ และไพเราะกว่าโคลงที่ไม่ใช้สัมผัสเลย
๏ เสร็จพระทางเครื่องต้น | | แต่งกาย ท่านนา |
สวมสอดสนับเพลาพราย | | อะเคื้อ |
ภูษิตพิจิตรลาย | | แลเลิศ แล้วแฮ |
ทรงสุภาภรณ์เสื้อ | | เกราะแก้วก่องศรี ๚ะ |
— ลิลิตตะเลงพ่าย |
พระยาตรังคภูมิบาล และกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส เป็นผู้นำแบบแผนการใส่สัมผัสอักษรในคำที่ 5 กับ 6 ทุกบาท
๏ เบญจศีลทรงสฤษฎิส้อง | | เสพย์นิพัทธ์ กาลนา |
บาปเบื่อฤๅรางรคน | | ขาดแท้ |
เบญจาวิธเวรสงัด | | สงบระงับ เหือดเฮย |
ทั่วทุจริตเว้นแว้ | | ว่างาม ๚ะ |
— ประชุมจากรึกวัดพระเชตุพนฯ |
การใช้สัมผัสสระ
นิยมใช้เฉพาะในโคลงสี่สุภาพเพราะช่วยทำให้เสียงของโคลงอ่อนหวานขึ้น สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงพระราชนิพนธ์โคลงสี่สุภาพ โดยกำหนดสัมผัสสระอย่างเป็นระบบในคำที่ 2 - 3 หรือ 3 - 4 ของทุกบาท ลักษณะเช่นนี้ปรากฏในงานของพระศรีมโหสถ และพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ด้วย ตัวอย่าง
๏ ราตรีศรีส่องฟ้า | | แสดงโฉม |
แสงสว่างกลางโพยม | | แจ่มฟ้า |
มหรสพจบการโลม | | ใจโลกย |
เปียนบ่ายรายเรียงหน้า | | นั่งล้อมเล็งแล ๚ะ |
— กาพย์ห่อโคลงพระศรีมโหสถ |
สุนทรภู่ รับอิทธิพลการแต่งโคลงแบบมีสัมผัสสระเช่นนี้มาใช้ในโคลงนิราศสุพรรณ แล้วเพิ่มสัมผัสสระอีกแห่งในคำที่ 7 -8 ของบาทที่สาม และคำที่ 8 - 9 ของบาทสุดท้าย รวมทั้งเพิ่มสัมผัสอักษรในคำที่ 5 - 6 และสัมผัสในอื่น ๆ ตามอัตลักษณ์อีกด้วย ตัวอย่าง
๏ รอกแตแลโลดเลี้ยว | | โลดโผน |
นกหกจกจิกโจน | | จับไม้ |
ยางเจ่าเหล่ายางโทน | | ท่องเที่ยว เหยี่ยวเอย |
โฉบฉาบคาบปลาได้ | | ด่วนขึ้นกลืนกิน ๚ะ |
— โคลงนิราศสุพรรณ |
พัฒนาการด้านฉันทลักษณ์
จิตร ภูมิศักดิ์ ได้เสนอฉันทลักษณ์โคลงห้าพัฒนา โดยปรับปรุงจากฉันทลักษณ์โคลงห้าในโองการแช่งน้ำ โดยกำหนดให้หนึ่งบทมีสี่บาท หนึ่งบาทมีห้าคำ แบ่งเป็นสองวรรค วรรหน้าสามคำ วรรคหลังสองคำ บังคับเอก 4 โท 4 สัมผัสเหมือนโคลงสี่สุภาพ สร้อยเหมือนสร้อยโคลงดั้น เอกโทวรรคแรกอาจสลับที่กันได้ และโทคู่วรรคที่สี่อาจอยู่แยกกันได้ ดังตัวอย่าง
๐ เอก โท | | ๐ x (๐ ๐) |
๐ ๐ x | | เอก โท |
๐ ๐ x | | ๐ เอก (๐ ๐) |
๐ โท โท | | เอก ๐ (๐ ๐) |
๏ กรุงเทพคลุ้ง | | คาวหืน |
ควันกามกลืน | | กลบไหม้ |
ดาวกลางคืน | | คลุมทาบ |
เมืองร้องไห้ | | เหือดขวัญ ๚ะ |
๏ น้ำฟ้าฟาด | | ฟองหาว |
คือกามฉาว | | ชุ่มฟ้า |
กลิ่นสาบสาว | | กำซาบ |
กามย้อมหล้า | | แหล่งสยาม ๚ะ |
— ดาวกลางคืน |
ศักดิ์สิริ มีสมสืบ กวีรางวัลซีไรต์ ได้บิดฉันทลักษณ์ เพิ่มสัมผัสใหม่ให้กับโคลงสี่ โดยเพิ่มสัมผัสคำที่ ๗ กับคำที่ ๕ ของบาทถัดไป อย่างสม่ำเสมอ (คล้ายกับร่าย) ตัวอย่างโคลงจากหนังสือรวมบทกวี มือนั้นสีขาว
๏ พี่ชายสวมหน้ากาก | | ผีร้าย |
น้องสาวหวีดวี้ดว้าย | | วุ่นวิ่ง |
พี่โยนหน้ากากทิ้ง | | แย้มแฉ่ง |
น้องน้อยวิ่งรี่แย่ง | | ฉกหน้ากากสวม ๚ะ |
๏ เด็กน้อยสวมหน้ากาก | | ยอดมนุษย์ |
เหินฟากฟ้าเร่งรุด | | โลดลิ่ว |
แต่เท้ายังเฉียดฉิว | | ยอดหญ้า |
เด็กน้อยครั้งถอดหน้า | | เจอะหน้าเนื้อหนอ ๚ะ |
ข้อมูลเกี่ยวกับโคลงที่นำเสนอมานี้ จะช่วยผู้ศึกษากวีนิพนธ์ของไทยเข้าใจฉันทลักษณ์ของโคลงชนิดต่าง ๆ และลักษณะพิเศษของโคลงในแต่ละสมัยที่พัฒนามาเป็นขนบการแต่งโคลงที่ถือว่าไพเราะในปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งเข้าใจว่ากวีทุกสมัยได้ใช้เสรีภาพในการสร้างสรรค์กวีนิพนธ์ในกรอบของฉันทลักษณ์แต่ละประเภทตลอดมา
ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%87
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น